A Trio Summit โดย Pro Musica : การแสดงดนตรีเชมเบอร์มิวสิคที่เข้มข้นโดยอาคันตุกะจากฝรั่งเศส

แฟนเพลงดนตรีคลาสสิก โดยเฉพาะเชมเบอร์มิวสิคในบ้านเรา คงคุ้นเคยกับ 2 คู่หูนักดนตรีจากฝรั่งเศส นักเชลโล อะเล็กซองดร์ เวย์ (Alexadre Vay) และนักเปียโน ดิมิทรี ปาปาโดปูลอส (Dimitri Papadopoulos) ซึ่งทั้งคู่นับเป็นแขกรับเชิญขาประจำของ Pro Musica โดยในแต่ละปีจะนำผลงานระดับยอดเยี่ยมของคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่มาแสดงให้พวกเรานักฟังชาวไทยได้ฟังกัน (เช่น Beethoven และ Brahms Cello Sonatas และ Trio ใหญ่ๆ อีกหลายเพลง) มาในปีนี้ พวกเขาพร้อมด้วย อ.ดร.ทัศนา นาควัชระ หัวหน้าวง Pro Musica ก็ได้ร่วมกันบรรเลงเพลงที่ถือว่าเป็นสุดยอดของเพลง Trio สำหรับไวโอลิน เชลโล และเปียโน นั่นคือ Piano Trio No.1 in D minor, Op.49 ผลงานของ เฟลิกซ์ เมนเดลโซห์น (Felix Mendelssohn คีตกวีชาวเยอรมัน) และ Piano Trio No.2 in E minor, Op.67 ผลงานของ ดมิทรี ชอสตาโกวิช (Dmitri Shostakovich, 1906-1975 : คีตกวีชาวรัสเซีย) ซึ่งผมได้รับชมไปเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2562 ณ  Goethe-Saal ของสถาบันเกอเธ่ กรุงเทพฯ

บทเพลงแรกขึ้นต้นด้วย  Piano Trio  ของเมนเดลโซห์น ซึ่งเราผู้ฟังอาจจะรู้สึกว่าเพลงนี้ค่อนข้างเรียบๆ โดยรวมแม้จะออกแนวหม่น แต่ก็มีความรื่นเริงสดใสในสไตล์เมนเดลโซห์นแทรกเข้ามาด้วย เช่นในกระบวนที่ 3 ซึ่งชวนให้คิดถึงเพลง Spinning Song (จากเพลงชุด Songs without Words ของท่านเอง) ตรงนี้ดูนักดนตรีจะสนุกกับการบรรเลงเป็นพิเศษ นักดนตรีจับจังหวะกันได้ดีมาก มีความพร้อมเพรียงและความกลมกลืนกันสูงมาก แม้จะได้ยินมาว่าได้ซ้อมรวมวงกันไม่มากนัก แต่ก็ได้บรรเลงรอบแรกไปแล้วที่หนองปลาไหล พัทยา น่าทำให้การแสดงในวันนี้ลงตัวยิ่งขึ้น ส่วนของเชลโลนั้น มีเสียงหนักแน่นเข้มข้น แต่ก็สดใสชัดเจน สำหรับเปียโนนั้น สามารถทำหน้าที่ทั้งผู้นำและผู้ตามได้เป็นอย่างดี และบทบาทของไวโอลินนั้น พวกเราที่คุ้นเคยการบรรเลงของอาจารย์ทัศนาก็จะรู้สึกได้ว่าเสียงไวโอลินของอาจารย์มีความสดใสและมีพลังพอที่จะสู้กับเสียงของเชลโลและเปียโนที่หนักหน่วงได้เป็นอย่างดี โดยรวมแล้วการบรรเลงมีความราบรื่น ฟังแล้วสร้างความสบายใจให้ผู้ฟัง

ส่วนในครึ่งหลัง เป็น Piano Trio  ของชอสตาโกวิช (ซึ่งผู้ฟังหลายท่านอาจคุ้นกับทำนองหลักในกระบวนที่ 4 ซึ่งชอสตาโกวิชได้นำไปใช้ซ้ำอีกในกระบวนที่ 2 ของ  String Quartet No.8 in C minor,  Op.110) ก็ยิ่งมีความหม่นยิ่งขึ้นไปอีก และความยากก็ยิ่งเพิ่มขึ้นกว่าเพลงของเมนเดลโซห์น มีเทคนิคต่างๆ เช่น เสียง harmonic หวีดๆ การทำเสียงแหบๆ โหยหวน ด้วยตัวลดเสียง (mute) ของเครื่องสาย การดีดสาย (pizzicato) อย่างรุนแรง แสดงถึงอารมณ์ที่กดดันและค่อยๆ ปะทุออกมาอย่างหนักหน่วงรุนแรง ทำนองส่วนใหญ่มีความแปร่ง มีการใช้ประสานเสียงที่ขัดแย้ง อารมณ์ของเพลงมาถึงขีดสุดในกระบวนที่ 4 ด้วยทำนองสำเนียงของเพลงพื้นบ้านของชาวยิวที่รุกเร้า การเล่นที่รุนแรงของเปียโน ไวโอลิน และเชลโล ทั้ง 3 ชิ้นเป็นการสนทนากันอย่างเข้มข้นและรุนแรงสมใจคีตกวี โดยส่วนตัวผมค่อนข้างชอบการบรรเลงเปียโนของคุณปาปาโดปูลอสเป็นพิเศษ ที่เขาบรรเลงช่วงที่รุกเร้าและรุนแรง ซึ่งต้องกระแทกคอร์ดหนาๆ ใหญ่ๆ เขาทำได้อย่างเต็มอารมณ์ ส่วนไวโอลินและเชลโล ก็บรรเลงได้อย่างถึงอารมณ์เช่นกัน จนบางครั้งผมยังหวั่นใจแทนนักแสดงว่าจะดีดจนสายขาดหรือไม่ ซึ่งโดยรวมก็ถึงอกถึงใจผู้ฟังอย่างยิ่ง มีการปรบมืออย่างพึงพอใจ จนนักดนตรีต้องออกมาบรรเลงเพลงแถม (encore) คือเพลง Cello Sonata ของรัคมานินอฟ (Sergei Rachmaninov, 1873-1943 : คีตกวีชาวรัสเซีย) ซึ่งเป็นการบรรเลงเฉพาะเชลโลกับเปียโน เพลงนี้เป็นเพลงที่บรรเลงในโปรแกรมที่ทั้งคู่เล่นที่พัทยา จึงตัดท่อนหนึ่งมาเป็นเพลงแถม โดยรวมแล้วผมคิดว่าเป็นเพลงที่มีท่วงทำนองที่ไพเราะน่าฟัง และค่อนข้างจะให้บทบาทกับเปียโนมากเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะรัคมานินอฟเองเป็นนักเปียโน จึงจะให้บทบาทของเปียโนมากกว่าเชลโล

ในส่วนของนักดนตรีทั้ง 2 นั้น ผมค่อนข้างชื่นชอบนักเชลโล คุณอะเล็กซองดร์ เวย์ เป็นพิเศษ เนื่องจากเสียงเชลโลที่ลึกและมีพลัง และฝีมือที่ยอดเยี่ยม สามารถเล่นได้ทั้งหวานซึ้งและรุนแรงได้อย่างดี ส่วนนักเปียโน คุณดิมิททรี ปาปาโดปูลอส ก็เล่นได้อย่างไม่มีข้อตำหนิ อีกทั้งมีความพร้อมเพรียงและรับส่งบทบาทกับคุณเวย์ได้เป็นอย่างดีจากการที่เล่นร่วมกันมาบ่อยครั้ง ทั้งนี้ผมได้ทราบมาจากคุณศศิภา รัศมิทัต นักเปียโนชาวไทย ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้เปิดโน้ต (page turner) ให้กับคุณปาปาโดปูลอส ว่านักเปียโนท่านนี้มีฝีมือที่พัฒนาขึ้นจากปีก่อนๆ ที่มาเมืองไทย โดยเฉพาะการตีความและการบรรเลงที่สอดคล้องกับเพื่อนร่วมวง ในส่วนของอาจารย์ทัศนานั้น อาจารย์ก็ยังคงฝีมือที่ไม่มีอะไรต้องกังขา ทั้งเรื่องการบรรเลง ความเข้าใจในตัวเพลง และความประสานกันกับเพื่อนร่วมวงซึ่งเป็นอาคันตุกะจากต่างแดน โดยเฉพาะเพลงของชอสตาโกวิช ซึ่งมีจังหวะที่ค่อนข้างซับซ้อน สังเกตได้ว่าอาจารย์จะขยับเก้าอี้ไปใกล้นักเปียโนมากขึ้น และมีการให้คิวและการมองซึ่งกันและกันบ่อยครั้ง รวมไปถึงการบรรเลงที่เราจะเห็นว่าทั้ง 3 ท่านไม่มีใครด้อยไปกว่ากัน ทุกคนมีบทบาทที่เข้มข้นแต่ก็ประสานงานกันได้อย่างลงตัว  เท่าที่ผมได้ฟังนักดนตรีชาวไทยหลายกลุ่มเล่นเพลงของชอสตาโกวิช พบว่าส่วนใหญ่บรรเลงได้อย่างดี เข้าถึงอารมณ์ ดูเหมือนกับว่าศิลปินไทยจะถูกโฉลกกับเพลงที่มีลักษณะกดดันและรุกเร้ารุนแรง เท่าที่เคยฟังเช่น กลุ่ม Bangkok String Quartet และกลุ่ม Pro Musica เองในบางคอนเสิร์ต แต่จะว่าไป คู่หูจากฝรั่งเศสทั้ง 2 ท่านนี้ก็ตีความชอสตาโกวิชออกมาได้อย่างน่าฟังและเข้าถึงความต้องการของคีตกวี อาจเพราะคีตกวีเขียนคำอธิบายและความต้องการของเพลงไว้อย่างชัดเจน เป็นการช่วยนักดนตรีในการตีความ

คอนเสิร์ตในครั้งนี้อาจเป็นตัวอย่างที่ดีของการเล่นดนตรีเชมเบอร์ในลักษณะที่เรียกว่า ensemble หรือการเล่นร่วมกันเป็นอย่างดี แม้ว่าอาจจะไม่ได้มีเวลาซ้อมกันมากนัก แต่ความจัดเจนในการเป็นนักดนตรีเชมเบอร์มิวสิค ทำให้ทั้งสามท่านนี้สามารถร่วมบรรเลงออกมาได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยในฐานะผู้ฟัง เราก็รับรู้ได้ว่าพวกเขาตั้งใจเล่นให้ผู้ฟังอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามคงต้องย้ำกันอีกว่า อยากให้ผู้รักดนตรีคลาสสิก หันมาให้ความสนใจกับดนตรีประเภทนี้มากขึ้น ผมเองได้ยินมาว่าการแสดงเชมเบอร์มิวสิกของนักดนตรีบางกลุ่มจำนวนผู้ชมอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับผู้เล่นเลยทีเดียว (วงใหญ่บางวงก็ประสบปัญหาแบบนั้นเช่นกัน) การแสดงของ Pro Musica ในคืนนั้น แม้ว่าจะมีผู้ชมค่อนข้างหนาตา แต่ก็ไม่ถึงกับเต็มความจุของหอแสดงดนตรี รวมทั้งส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ฟังชาวต่างประเทศ ซึ่งเราก็หวังว่าจะมีผู้ฟังชาวไทยเป็นหลัก ก็ได้แต่บอกซ้ำๆ กันอีกเช่นเคยว่า รากฐานของดนตรีคลาสสิกตะวันตกอยู่ที่เชมเบอร์มิวสิกนี่แหละครับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*