‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ ลาจากเพื่อกลับมาเจอ ฝากใจไว้ให้เธอผ่านเสียงเพลง

โดย ‘กัลปพฤกษ์’  kalapapruek@hotmail.com

โปสเตอร์มนต์รักทรานซีสเตอร์

บางครั้งความย้อนแย้งก็อาจกลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของงานศิลปะได้เหมือนกัน อย่างละครเวทีที่ดัดแปลงจากบทประพันธ์เล่าเรื่องราวชีวิตรักของหนุ่มสาวบ้านทุ่งชื่อเดียวกันว่า ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ (๒๕๒๔) ของ วัฒน์ วรรลยางกูร ผู้ล่วงลับ ซึ่งกำกับโดย ธีรพันธ์ เงาจีนานันต์ กลับได้จัดแสดง ณ ห้องสตูดิโอ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร หรือ BACC ใจกลางย่านการค้าธุรกิจของกรุงเทพมหานครอันโอ่อ่าทันสมัย ในขณะที่บรรยากาศของเนื้อหาเรื่องราวส่วนใหญ่กลับนำเสนอภาพท้องถิ่นชนบทไทยช่วงต้นยุค 1980s ที่ผู้คนยังนิยมฟังเพลงเพราะ ๆ จากวิทยุทรานซิสเตอร์กันอยู่  การเดินเข้าไปดูละครเรื่องนี้จึงเหมือนได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกใหม่ที่ย้อนเวลากลับไป ไม่ได้รู้สึกว่ากำลังนั่งอยู่ ณ ใจกลางพระนครไปชั่วขณะ

            บทละครเรื่อง ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ สำหรับการแสดงในครั้งนี้ ดัดแปลงบทโดย จตุรชัย ศรีจันทร์วันเพ็ญ ซึ่งก็พยายามคงเนื้อหาเรื่องราวไว้ให้ตรงตามนวนิยายต้นฉบับได้มากที่สุด แต่ก็จะมีการใส่มุกตลกครื้นเครงเพื่อเอาใจผู้ชมร่วมสมัยไว้บ้างอย่างพอเป็นกระสาย เหตุการณ์หลัก ๆ ของเรื่องจึงเล่าถึงตัวละคร ‘แผน’ หนุ่มบ้านนอกผู้มีดีด้านเสียงร้องเพลงลูกทุ่ง เขารักใคร่ชอบพอกับ ‘สะเดา’ สาวสวนแตง จนสามารถเอาชนะว่าที่พ่อตา เข้าพิธีวิวาห์กับยอดดวงใจได้สำเร็จ แต่ในช่วงที่ทั้งคู่กำลังจะมีลูกด้วยกัน ‘แผน’ ได้ซื้อเครื่องวิทยุทรานซิสเตอร์มาเป็นของขวัญให้ภรรยา และทราบข่าวว่ากำลังมีการจัดประกวดนักร้องหน้าใหม่ แต่โชคร้ายที่ ‘แผน’ จับได้ใบแดงติดเกณฑ์ทหารไปเสียก่อน หลังจากนั้นชีวิตของ ‘แผน’ ก็ระหกระเหเร่ร่อน จากค่ายทหาร สู่ค่ายเพลง หนีคดีอาชญากรรมที่ตนเองก่อไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ ทิ้งให้ ‘สะเดา’ ต้องกลายเป็น single mom อย่างน้อยอกน้อยใจ ถึงขั้นสาปแช่งให้ผัวตาย ๆ ไปเพื่อระบายความชีช้ำ

            นวนิยายเรื่อง ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ ของ วัฒน์ วรรลยางกูร จึงมีน้ำเสียงการเล่าที่มุ่งให้ความสนุกบันเทิงแก่ผู้อ่านมากกว่านวนิยายเล่มอื่น ๆ ของเขาที่นำเสนอภาพปัญหาในชีวิตชนบทอย่างจริงจังมากกว่า ซึ่งทั้ง จตุรชัย ศรีจันทร์วันเพ็ญ และ ธีรพันธ์ เงาจีนานันต์ ก็พยายามรักษาบรรยากาศครึกครื้นเฮฮาจากตัวนิยายเอาไว้ในการแสดงครั้งนี้อย่างเต็มที่ จนกลายเป็นสีสันสำคัญที่ทำให้ ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ ฉบับละครเวทีมีความน่าตื่นตาตื่นใจลื่นไหลน่าดูชมไปตลอดความยาวสองชั่วโมง

            สิ่งที่โดดเด่นสำหรับการแสดงในครั้งนี้ก็คือการออกแบบฉากและงาน production design ที่อุดมไปด้วยความริเริ่มสร้างสรรค์ เนรมิตบรรยากาศท้องทุ่งชนบทด้วยสีสันอันฉูดฉาดจัดจ้าน ทั้งจากเครื่องแต่งกายของนักแสดงไปจนถึงอุปกรณ์ประกอบต่าง ๆ และถึงแม้ว่าองค์ประกอบส่วนใหญ่จะไม่ได้หนีไปจาก ‘ภาพจำ’ ของวิถีชนบทที่เราเห็นกันจนชินตา ไม่ว่าจะเป็นกอข้าวกองฟาง ฉากหลังระบายคล้ายโรงลิเก เปลผ้าขาวม้า เสื้อผ้าชุดนุ่งซิ่นคอกระเช้า หรือ ราวไฟนีออนงานวัดจัดเป็นรูปชิงช้าสวรรค์ แต่ผู้กำกับก็ยังสามารถคัดสรรรายละเอียดเหล่านี้ให้มีความเฉพาะจนไม่รู้สึกว่าซ้ำซากได้ ด้วยวิธีการเพียงง่าย ๆ หากสามารถนำมาใช้งานได้อย่างแหลมคม อย่างถุงพลาสติกเป่าลมแล้วมัดปมสีขาวโป่งพองที่กองระเนนกันเต็มพื้นซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งขยะเก็บกวาด และหยาดหยดชลมารคไว้พายลากนาวา หรือแม้แต่เปลผ้าขาวม้า ที่เพียงแค่ให้นักแสดงนำส่วนปลายผูกไว้กับเสาทั้งสองข้าง ก็สามารถสร้างตัวละครสำคัญให้กับเนื้อหาเรื่องราวได้แล้วอีกหนึ่งชีวิตโดยไม่ต้องคิดทำอะไรมาก งานฉากและ production ที่ใช้ม่านกั้นสรรแบ่งพื้นที่จึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เอาชนะข้อจำกัดต่าง ๆ ของการแสดงละครเวทีได้อย่างไม่มีจุดสะดุดใด ๆ เลย

            อย่างไรก็ดีปัญหาใหญ่ของละครในรอบค่ำคืนวันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ ก็คือการแสดงของนักแสดงคู่พระ-นาง ซึ่งยังไม่สามารถปล่อยประกาย spark หรือปฏิกิริยาเคมีที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องกันได้เลย เริ่มที่บทบาทของพระเอกหนุ่ม ‘แผน’ ซึ่งรับบทโดย ณัฐพงศ์ รัตนเมธานนท์ ที่เหมือนจะยังมุม ‘หล่อ’ ของตัวเองไม่เจอ เสน่ห์ความเป็น ‘อ้ายแผน’ ที่แสนจะทะลึ่งทะเล้น เห็นถึงความสามารถในการร้องเพลงของตนเองจนเกิดความมั่นอกมั่นใจว่า สาว ๆ ที่ไหนได้ยินก็คงต้องเหลียวมามองจึงไม่ปรากฏเลยจากการแสดงของ ณัฐพงศ์  อันนี้ต้องขอรีบออกตัวกลัวจะเข้าใจไขว้เขวว่าการวิจารณ์นักแสดงว่า ‘ไม่หล่อ’ เป็นคนละเรื่องกับการ bully ที่กลายเป็นพฤติกรรมต้องห้ามไปแล้วในยุคสมัยนี้ การที่ ณัฐพงศ์ แสดงเป็น ‘แผน’ ได้ไม่หล่อเลย มิได้เกี่ยวข้องกับรูปพรรณสัณฐานภายนอกของ ณัฐพงศ์ ว่าหน้าตาจะมีเสน่ห์ชวนมองมากน้อยแค่ไหน เพราะทุกอย่างมันมาจากการแสดง ที่ไม่ว่าหน้าตาของผู้แสดงจะเป็นอย่างไร ก็สามารถใช้ความมั่นอกมั่นใจ ‘แสดง’ ว่าเป็นคนหล่ออย่างร้ายกาจยิ่งกว่า ณเดชน์ ยิ่งกว่า Brad Pitt หรือใครใด ๆ ก็ย่อมได้  แต่ ‘แผน’ ของ ณัฐพงศ์ ในค่ำคืนนั้นกลับกลายเป็นคนที่ไม่ได้มีความมั่นใจในตัวเองเลย โดยเฉพาะเมื่อไปเทียบกับการแสดงของ เสฎฐวุฒิ จันทร์เพ็ญสุข ในช่วงที่เขารับบทเป็น ‘พ่อหมอยา’ กลับสามารถเปล่งประกายออร่าโปรยเสน่ห์ราวร่ายมนต์คาถาจนคนดูอาจรู้สึกอยากจะหันมาเชียร์ตัวละครฝ่ายร้ายมากกว่าจะเอาใจช่วยฝ่ายดี แม้แต่เสียงร้องเพลงที่ ณัฐพงศ์ ขับขานออกมาก็ยังอยู่ในระดับแค่พอฟังได้ หากยังไร้มนต์สะกดให้ต้องหันไปฟังดังที่ตัวบทได้อวยไว้เสียเลิศเลอ การณ์เลยกลายเป็นว่าการแสดงของ ณัฐพงศ์ เริ่มจะ ‘เข้าบท’ ก็ในช่วงครึ่งหลังที่ ‘แผน’ ได้สูญสิ้นทุกสิ่งอย่างไปหมดแล้ว ทำให้เราไม่ได้เห็นความพลวัตของตัวละครจากชายหนุ่มผู้มีเรี่ยวแรงและความฝันอันเจิดจ้าหากกลับพลาดท่ากลายเป็นชายผู้อนาถาในโลกอันมืดมนอนธการในท้ายที่สุด

            ส่วน อัจฉรียา โพธิพิพิธธนากร ในบท ‘สะเดา’ ก็เจอปัญหาเดียวกันกับ สิริยากร พุกกะเวส ใน ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ (๒๕๔๔) ฉบับภาพยนตร์ของ เป็นเอก รัตนเรือง นั่นคือ ทั้งคู่มีกิริยาท่าทีและการเปล่งเสียงที่แลดูเป็นสาวชาววังมากกว่าสาวชาวบ้าน เนื้อเสียงของทั้ง สิริยากร และ อัจฉรียา มีความฉะฉานกังวานอย่างคนที่ผ่านการศึกษาขัดเกลามาอย่างดี จนไม่มีเค้ารอยของความซื่อ ๆ บ้าน ๆ ดักดานอยู่กับโคลนตมให้เห็นเลย ส่งผลให้นางเอกทั้งสองดูกระโดดลอยออกมาจากบริบทของเนื้อเรื่องและตัวละครอื่น ๆ จนไม่เห็นความกลมกลืน และถึงแม้ว่าผู้กำกับจะยืนยันที่จะยกชูให้นางเอกของเขาต้อง ‘โดดเด่นเป็นสง่า’ เหนือกว่าตัวละครอื่น ๆ เยี่ยง ‘หงส์ในฝูงกา’ แต่ถึงจะเป็นหงส์ ก็ควรที่จะเป็น ‘หงส์ป่า’ มิใช่ ‘หงส์นางพญา’ ที่อาศัยอยู่ในบึงสระของพระตำหนักในหัวเมืองใหญ่อย่างที่ได้เห็น  นักแสดงที่น่าจะเป็นคนเปรียบเทียบได้ดีก็เห็นจะเป็น นวลปณต ณัฐ เขียนภักดี ที่มีเนื้อเสียงสวยกังวานอย่างผู้มีการศึกษาสูงเช่นกัน แต่พอเธอต้องหันมาเล่นเป็นแรงงานรากหญ้า เธอก็สามารถใส่สำเนียงเพี้ยนเหน่อแบบเอาเรื่องจนได้ใจ ซึ่งถ้า อัจฉรียา สามารถจะเติมสำเนียงเพี้ยน ๆ เหน่อ ๆ แบบเดียวกันให้กับการพูดการจาของ ‘สะเดา’ ลงไปบ้าง ก็อาจจะช่วยเจือจางความรู้สึกแปลกปลอมอะไรเหล่านี้ลงได้  หรือแม้แต่อากัปกิริยาที่ใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การนั่งชันเข่าเอามีดปอกผักหักขั้วกระเทียมอย่างคล่องแคล่วว่องไวโดยไม่ต้องหันไปเหลียวดูเพราะเรียนรู้ทำเป็นมาทั้งชีวิต การกุมสากโขลกครก หรือแม้แต่การยกจ้วงพายขณะแล่นเรือ มันก็มีวิธีที่ทำให้ดูออกได้ว่านางเป็นสาวชาวบ้านที่โตมากับผืนน้ำจริง ๆ มิใช่แค่สักแต่จะยก ๆ จ้วง ๆ ไปเหมือนกำลังพายเรือเล่นในสระกลางสวนสาธารณะของเมืองหลวง โดยรวม ๆ แล้วการแสดงของ อัจฉรียา จึงยังออกจะติดอาการห่วงสวยตามประสานางเอกหนังลูกกรุง จนขาดความกะโปโลแบบบ้านทุ่งซึ่งน่าจะเป็นอัตลักษณ์สำคัญของตัวละครรายนี้

            ซึ่งพอทั้งพระเอกและนางเอกของเรื่องยังทำหน้าที่ได้ไม่ค่อยจะดี สีสันทางการแสดงทั้งหมดจึงตกไปอยู่ที่คณะนักแสดงสมทบ ที่แต่ละคนจะต้องเทียวเข้าเทียวออกผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายด้วยความเร็วระดับสายฟ้าแลบ เพื่อรับบทต่าง ๆ กันไปตามเนื้อเรื่องที่กำลังจ้ำอ้าวไปข้างหน้า ผู้กำกับ ธีรพันธ์ ชาญฉลาดมากที่คัดเลือกนักแสดงเจนเวทีมีประสบการณ์รับบทเด่น ๆ กระทั่งตัวละครนำในวงการนี้มาร่วมทำหน้าที่เป็นนักแสดงสมทบ ไม่ว่าจะเป็น เสฎฐวุฒิ จันทร์เพ็ญสุข และ นวลปณต ณัฐ เขียนภักดี ที่ได้เอ่ยถึงไปแล้ว ร่วมด้วย สกาว กานต์กรกมล / กานต์ธิดา กระตุดเงิน และที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นั่นคือ สายฟ้า ตันธนา ที่เหมาเล่นหมดทุกบทเด่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น พ่อของสะเดา หัวหน้าหน่วยทหาร หัวหน้าคนงาน ลูกน้องเสี่ย ตำรวจ และ ‘ป๋า’ ผู้จัดการสำนักงานดนตรี ซึ่งก็สร้างสีสันได้ทุกครั้งยามที่ สายฟ้า ปรากฏตัวออกมาด้วยเครื่องแต่งกายชุดใหม่ไม่ต่างจากพ่อกิ้งก่าเปลี่ยนสี การแสดงที่ต้องอาศัยเทคนิคการแสดงอันจัดจ้านแพรวพราวของ สายฟ้า นับว่ามีส่วนช่วยเสริมพลังความสนุกบันเทิงให้กับละคร ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ ครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี เสียแต่ว่า สายฟ้า เป็นนักแสดงที่ให้คุณค่ากับการแสดงแบบภายนอกมากกว่าจะลงลึกถึงภายใน เราจึงมักจะไม่ได้เห็น inner ซึ่งบางครั้งก็สำคัญจำเป็นจาก สายฟ้า สักเท่าไหร่ เช่น มิติลึก ๆ ของความเป็น ‘พ่อ’ ที่หวงและห่วงลูกสาวอยู่ตลอดเวลา หรือ แม้แต่ตอนที่เขาได้เล่นเป็น ‘ป๋า’ เราก็จะไม่ได้เห็นความหื่นที่อยากจะกลืนกินเจ้าแผนไปแบบทั้งเนื้อทั้งตัวเลย แม้ว่าเขาจะสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในฉากนั้นได้ดี ซึ่งก็กลายเป็นการ ‘ขยี้’ ความไร้เสน่ห์ของตัวละคร ‘แผน’ ให้หนักข้อเข้าไปใหญ่ แต่ในส่วนของสายขำ สายตลกฮา อันนั้นเขาไม่ปล่อยให้ใครมาว่ามาตำหนิตรงจุดไหนได้เลย

            จึงไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับละครเรื่องนี้หรือไม่ ที่กลุ่มนักแสดงสมทบจะแย่งซีนความโดดเด่นมาจากนักแสดงคู่พระคู่นางอย่างราบคาบ ได้แต่หวังใจว่าในการแสดงรอบต่อ ๆ ไปการแสดงของทั้ง ณัฐพงศ์ และ อัจฉรียา จะกลับมาเจิดจรัสสว่างจ้าฟัดเหวี่ยงกับความเฮฮาบ้าบอของกองทัพตัวประกอบทั้งหมดที่เหลือได้อย่างขิงก็ราข่าก็แรง เหนืออื่นใดคือหากนักแสดงนำทั้งคู่ทำสำเร็จได้ หัวใจของเนื้อหาเรื่องราวจากนิยาย ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ ของ วัฒน์ วรรลยางกูร ที่แสดงการเดินทางจากแสงเรืองรองแห่งความหวังไปยังสภาพอันไร้สิ้นภินท์พังทั้งเนื้อทั้งตัวไม่เหลือสิ่งใด ก็จะมีพลังกระทบใจคนดูได้ กลายเป็นการแสดงที่ชวนให้ทั้ง ‘หัวเราะร่า-น้ำตาริน’ กินใจไปกับชะตากรรมของ ‘แผน’ กับ ‘สะเดา’ จนอยากจะเอาใจช่วยให้พ้นมรสุมชีวิตรอบนี้ไปเร็ว ๆ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*