อย่าไปเรียกพวกเธอว่า “เพชรภูธร” สาวน้อยเหล่านี้คือสะพานข้ามพรมเเดนวัฒนธรรม

เจตนา นาควัชระ

(facebook Pro Musica)

ผมเดินเป๋ออกมาจากการหอศิลป์ V.S. Gallery นราธิวาสฯ ซอย 22 ด้วยความงุนงงเป็นอย่างยิ่ง นี่มันเป็นไปได้อย่างไร เมื่อ 60 ปีที่เเล้ว วาทยกรเยอรมัน ชื่อ Herr Mommer ซึ่งสถาบันเกอเธ่ส่งมากำกับวง Pro Musica ไม่พอใจกับการเล่นเชลโล่ของนักดนตรีชาวไทยในวง ถึงขนาดทุบเชลโล่ของหัวหน้ากลุ่มพังไปหนึ่งตัว เกิดเป็นเรื่องราวกันใหญ่โตสำหรับฝ่ายเยอรมัน เขาเกือบจะถูกส่งตัวกลับไปเเล้ว เเต่ก็ประนีประนอมกันกันสำเร็จ เพราะฝ่ายไทยมีความนอบน้อมถ่อมตนเป็นทุนเดิมอยู่เเล้ว ถ้าครูไทยเอาไม้ระนาดโขกหัวศิษย์ได้ เยอรมันเขาจะระเบิดอารมณ์บ้างเพราะเราหย่อนมาตรฐานก็ยอมเขาเถิด

ถ้านาย Mommer มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ และได้ฟังสาวน้อยสามคนนี้หาญไต่บันได้ขึ้นไปสู่ยอดเขาเอเวอเรตส์เเห่งคีตนิพนธ์สำหรับเชลโล่เเล้ว เขาคงจะอุทานออกมาอย่างเเน่นอนว่า “Was? Wie ist das möglich?” (อะไรกัน [วะ] มันเป็นไปได้อย่างไร) เเต่มันก็เป็นไปเเล้ว

เมื่อท่านองคมนตรี ม.ล. อัสนี ปราโมชผู้ล่วงลับไปเเล้ว มอบงานของวง Pro Musica ให้กับมหาวิทยาลัยศิลปากรไป พวกครูกลุ่มหนึ่งก็ใช้เวลาเป็นเเรมปีออกไปควาญหาช้างเผือกจากต่างจังหวัด นำมาประคบประหงม พรํ่าสอนวิชาการดนตรีของอัสดงคตประเทศให้กับเด็กหนุ่มเด็กสาวผู้รักดีจำนวนหนึ่ง เเละสามสาวที่ออกเเสดงผลงานเดี่ยวเชลโล่ของ Bach ในวันนี้ก็ยืนยันได้ว่าทุกอย่าง “สำคัญที่ใจ” เหตุใดเด็กสามคนนี้จึงใจถึงที่กล้าเสนองานอันลึกซึ้งเเละยากยิ่งชุดนี้ต่อสาธารณะอย่างที่เขาทำในวันนี้ เเล้วปริญญาเอกจากสถาบันอันเลื่องชื่อของตะวันตกทั้งหลายหาย (…)ไปไหนกันหมด (ผมไม่ได้พูดเรื่อเชลโล่โดยเฉพาะนะครับ) เหตุใดจึงไม่ยอมออกแสดง หรือ “สนิมเกิดเเต่เนื้อ ในตน”?

ระหว่างการเเสดงในบางตอน โดยเฉพาะในตอนกลางๆ ผมลองหลับตาฟังเเต่เสียง เเล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า เสียงที่ผมได้ยินในบางช่วงบางตอนมันราวกับการเเสดงของนักดนตรีอาชีพที่ผมเคยได้ฟังมาที่ Wigmore Hall หรือ Philharmonie Berlin โรงเล็ก

ถึงอย่างไร พวกเธอก็ยังเด็กนัก ประสบการณ์ยังน้อยนิด เเต่มันมีบางสิ่งบางอย่างที่แฝงอยู่ในเนื้อในของดนตรีที่ถ่ายทอดข้ามยุคข้ามสมัยข้ามถิ่นที่ได้ด้วยวิธีการที่อธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ยาก ไม่ว่าครูของพวกเขาจะพร่ำสอนมา หรือพวกเธอได้ยินได้ฟังผลงานมาจากการอัดเสียงสมัยใหม่ เเต่เสียงที่พวกเธอถ่ายทอดมานั้นมัน “ใช่เลย” เสียงเชลโล่ของพวกเธอมีความหลากหลายมาก ส่วนที่พวกเธอทำได้อีกส่วนหนึ่งคือ การจับจังหวะของเพลงเต้นรำที่ Bach หยิบยืมมาจากฝรั่งเศส เเละภายในกรอบนั้นอภิมหาคีตกวีบรรจุความหลากหลายเเละความลุ่มลึกของอารมณ์เข้าไป หนูน้อยทั้งสามทำได้เท่าที่จะเป็นไปได้ เเต่สังเกตได้ว่าในหลายๆตอน พวกเธอไม่ได้ยึดจังหวะอย่างตายตัว เเต่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ผ่อนสั้นผ่อนยาว พยายามจะเข้าถึงอารมณ์ของเพลงให้ได้ คงต้องบอกว่านี่คือ “ศิษย์มีครู” อย่างเเน่นอน สิ่งที่ควรชมอีกประการหนึ่งก็คือ พวกเธอเล่นไม่เพี้ยน เเม้จะเกิดความประหม่าเป็นครั้งคราวจนลืมโน้ต ก็ไม่มีใครว่าอะไร ผู้ชม (ซึ่งเป็นคนไทยเสียเป็นส่วนใหญ่) ปรบมือให้อย่างกึกก้องในตอนท้าย

สามสาวมีบุคลิกที่ต่างกัน เเละก็น่าประหลาดที่บุคลิกนั้นสะท้อนออกมาเป็นบุคลิกภาพทางดนตรี สาวคนที่หนึ่งเล่นบาคเเบบห้าวหาญ สาวคนที่สองมองบาคว่าเป็นนักคิด คนที่สามดูจะทึ่งกับเทคนิคที่ร้อยเรียงมาอย่างซับซ้อน พวกเธอยังมีเวลาที่จะเจาะลงไปถึงส่วนลึกของงานชุดนี้อีกนานมากนัก อย่าลืมว่า เมื่อ Pablo Casals ไปค้นพบต้นฉบับของงานชุดนี้นั้น เขาใช้เวลาอีก 12 ปี ในการ “แกะ” เอาเนื้อในเเละคุณค่าทางดนตรีออกมาเผยเเสดง นักเชลโล่ส่วนใหญ่เกาะงานชุดนี้ไว้ตลอดชีวิต

สำหรับเราในฐานะผู้ดูผู้ฟัง ก็คงจะต้องขอบคุณสาวน้อยทั้งสามที่เเสดงให้เห็นประจักษ์ชัดว่า ดนตรีข้ามพรมแดนทางวัฒนธรรมได้ ถ้าหมั่นเรียนรู้ เเละมุ่งมั่นตั้งใจจริง

“เพชรภูธร”ทั้งสามได้รับทุนเล่าเรียนตลอดหลักสูตรปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยศิลปากรจากบริษัทเอกชน พวกเขาโชคดีกว่า Johannes Brahms มาก ที่ไม่ต้องเล่นดนตรีในบาร์ในตอนเด็กเพื่อความอยู่รอด วันนี้ผมกลับมาถึงบ้านเเล้วลงมือเขียนบทวิจารณ์นี้โดยฉับพลันอย่างเเทบไม่ได้ใคร่ครวญไตร่ตรอง ตอนนี้ผมหายงงเเล้ว “สว่าง” ขึ้นเเล้วด้วย คนเเก่เท่านั้นหรือที่อยู่ได้ด้วยอาหารใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*