School of Ganesh ผลงานเชิงทดลองล่าสุดของคณะ 18 Monkeys Dance Theatre

School of Ganesh ผลงานเชิงทดลองล่าสุดของคณะ 18 Monkeys Dance Theatre

อรพินท์  คำสอน

School of Ganesh เป็นผลงานล่าสุดของคณะ 18 Monkeys Dance Theatre ที่จัดแสดงระหว่างวันที่ 12-15 พฤศจิกายน 2564 ที่ Lido Connect ซึ่งผู้เขียนได้ไปชมในเย็นวันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา การแสดงในครั้งนี้เป็นผลงานเชิงทดลองที่ จิตติ  ชมพี  ได้พัฒนามาจากการศึกษาวิจัยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะโขน และเป็นการต่อยอดองค์ความรู้เพื่อใช้ในการพัฒนางานร่วมสมัย  โดยมุ่มเน้นการเชื่อมโยงระหว่างโขนและนาฏศิลป์กับประชาคมร่วมสมัย  การแสดงในครั้งนี้สืบเนื่องและต่อยอดมาจากการแสดง Melancholy of Demon ที่เคยจัดแสดงไปแล้วในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา 

แม้ว่า  School of Ganesh จะเป็นการตีความและถ่ายทอดเรื่องราวของ รามเกียรติ์ ในแง่มุมใหม่เช่นเดียวกับ  Melancholy of Demon  แต่ School of Ganesh ใช้วิธีการนำเสนอที่ต่างออกไป  กล่าวคือ  Melancholy of Demon  ยังคงนำหัวโขน  ท่ารำ และบทร้อง มาเป็นแกนหลักในการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับทศกัณฐ์ตั้งแต่เกิดจนตาย  โดยเลือกเรื่องราวของทศกัณฐ์ที่ไม่ค่อยที่ไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากนักมาแสดง ไม่ว่าจะเป็น  ยักษ์นนทกตายและเกิดใหม่เป็นทศกัณฐ์  ทศกัณฐ์รำฉุยฉายลงสรง นางสีดาไม่อาบน้ำ 14 ปี  ขณะที่ School of Ganesh ใช้เทคนิคหลากหลายเกินไปกว่าโขนแบบประเพณี และเพิ่มสัดส่วนของการเต้นร่วมสมัยมากขึ้น  ดังจะเห็นได้ว่ามีนักเต้นร่วมสมัยทั้งชาวไทยและต่างประเทศเข้ามาร่วมแสดงกับนักแสดงจากนาฏศิลป์ไทยเพิ่มขึ้น  พร้อมทั้งยังให้ผู้แสดงใส่เสื้อเชิ้ต  กางเกงวอร์ม และเลือกใช้ลูกโป่งแทนหัวโขน ผู้แสดงจึงมีลักษณะคล้ายหุ่นที่มีความยืนหยุ่นและลื่นไหลมากกว่าหัวโขน  เพราะลูกโป่งที่ไม่มีหน้าตา  จึงสามารถที่จะปรับแปรไปเป็นตัวละครใดก็ได้อยู่ตลอดเวลา  การแสดงครั้งนี้ใช้การเคลื่อนไหวของร่างกายของนักเต้นเป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสาร  ซึ่งนำมาทดแทนบทร้องที่ถูกลดทอนลง   ดังจะเห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวของตัวละคร ไม่เพียงแต่ช่วยจำแนกแยกแยะตัวละครต่างๆ ทั้งที่เป็นมนุษย์  สัตว์  และยักษ์  แต่ยังทำหน้าที่สื่อสารอารมณ์  ความรู้สึกต่างๆ และอากัปกิริยาต่างๆ ของตัวละคร ทั้งการแสดงความรัก  ความโกรธ  การต่อสู้  และความโศกเศร้า   ทั้งยังรวมถึงการเล่าเรื่องของตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์บางฉากบางตอน เช่น ตอนที่ทรพีฆ่าทรพา ตอนที่นางสำมนักขาที่ถูกพระลักษณ์ตัดหูและจมูก  และตอนที่สุครีพควบคุมเหล่าวานรช่วยกันรับส่งหินศิลาถมสมุทรเพื่อให้พระรามยกทัพข้ามไปนครลงกาได้    

การแสดงในครั้งนี้เป็นการนำเสนอความคิดและเรื่องราวของรามเกียรติ์เป็นเศษเสี้ยว (fragment)  ที่ไม่ติดต่อกันจำนวนหนึ่ง  จึงเป็นการยากที่ผู้ชมที่ไม่มีฐานความรู้หรือเคยชมโขนเรื่องรามเกียรติ์มาก่อนจะสามารถประกอบสร้างเศษเสี้ยวที่กระจัดกระจายเข้าด้วยกัน  หรือสามารถเข้าใจทุกเศษเสี้ยวที่ผู้แสดงนำเสนอได้  แต่อย่างไรก็ดี  ผู้เขียนคิดว่า  จิตติก็ตระหนักถึงข้อจำกัดในเรื่องนี้เช่นกัน   ดังจะเห็นได้จากเอกสารประกอบการแสดงที่แจกให้ผู้ชมได้อ่านก่อนเข้าชม  ซึ่งได้สรุปความคิดหลักของการแสดงและการแสดงความปรารถนาถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการตั้งสำนักสำหรับการฝึกนักแสดงรุ่นใหม่แนวใหม่ขึ้นมา  แต่ความละเอียดของเอกสารดังกล่าวในอีกด้านหนึ่งก็อาจกลายเป็นการชี้นำผู้ชมให้เดินตามกรอบที่ผู้แสดงต้องการมากเกินไปก็เป็นได้   ทั้งนี้  หากผู้ชมที่ไม่ได้อ่านเอกสารที่แจกก่อนการชมการแสดง  ผู้เขียนก็เห็นว่า  องค์ประกอบต่างๆ ในการแสดงที่นอกเหนือจากการเคลื่อนไหวของนักแสดงก็ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้กับผู้ชมสามารถติดตามความคิดหลักของการแสดงในครั้งนี้ได้  ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกาย (หาง และ หัวโขน)  อุปกรณ์ประกอบฉาก และบทร้องและท่ารำ (โดยเฉพาะในตอนของนางสำมนักขา และสุครีพ)

 

อย่างไรก็ดี  School of Ganesh  ก็ยังไม่ละทิ้งการนำเสนอประติมากรรมเคลื่อนไหว (moving sculpture) ผ่านการออกแบบสถาปัตยกรรมของร่างกาย (body architecture) ซึ่งเป็นต้นแบบทดลองที่จิตติคิดค้นขึ้นจากการวิจัย  ด้วยการให้ตัวละคร 2 คนเคลื่อนไหวทะลุฉากออกมาแสดงเป็นตัวละครตัวเดียว  ซึ่งมีลักษณะคล้ายประติมากรรมนูนต่ำเคลื่อนไหวได้  โดยการแสดงในครั้งนี้พัฒนาขึ้นจาก Melancholy of Demon  ไปอีกขั้นหนึ่ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  จากการเคลื่อนไหวของตัวละครผ่านฉากที่อยู่นิ่ง  เริ่มเพิ่มฉากที่เคลื่อนไหวไปพร้อมการเคลื่อนที่ของตัวละคร  

ทั้งนี้  หากผู้สนใจเกี่ยวกับความคิดเบื้องหลังการแสดงชุดนี้  พร้อมความเห็นจากผู้รู้ในแง่มุมอื่นๆ เพิ่มเติมสามารถเข้าร่วมการสัมมนาเชิงวิชาการเกี่ยวกับ “เกร็ดโขน” ในวันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ณ สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ รวม 2 หัวข้อ  หัวข้อแรก  คือ “เกร็ดดนตรีสำหรับการแสดงโขน:การออกแบบเสียงในการแสดงด้วยแนวคิด Minimalism”  โดย รศ. ดร.พรประพิตร์ เผ่าสวัสดิ์ และดุริยางคศิลปินอาวุโส สุรพงศ์ โรหิตาจล ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทยสำนักงานสังคีตกรมศิลปากร  และ หัวข้อที่สอง คือ “Back to the Basics: A Dialogue between the Traditional and the Contemporary” (เวลา 15.00-18.00 น.)  นำการเสวนาโดยท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน และศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.เจตนา นาควัชระ  พร้อมกับงานเปิดตัวหนังสือ “เกร็ดโขน”  ทั้งนี้  ผู้สนใจสามารถติดต่อและสำรองที่นั่งการเข้าร่วมการสัมมนาครั้งนี้ได้ที่สยามสมาคม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*