สุนทราภรณ์ เดอะมิวสิคัล : ความปรารถนาดีของคนขาดรากและรากขาด

สุนทราภรณ์  เดอะมิวสิคัล : ความปรารถนาดีของคนขาดรากและรากขาด

 

 

เจตนา  นาควัชระ

 

เป็นที่น่าชื่นใจอย่างยิ่งว่า  ไม่ใช่แต่ผู้ฟังรุ่นเก่าที่เคยสัมผัสกับวงดนตรีและนักร้อง
สุนทราภรณ์ในยุคที่ครูเอื้อยังกำกับวงอยู่  แต่ในปัจจุบัน  คนหลากยุคหลายวัยก็มาร่วมฉลอง 100 ปีชาตกาลของครูเอื้อ สุนทรสนาน  และการที่ครูเอื้อได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโก  ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ประจำปี 2553  ก็ยังเป็นแรงหนุนให้แฟนเพลงสุนทรภรณ์เกิดความมั่นใจว่า  มรดกทางดนตรีที่ครูเอื้อและผู้ร่วมงานของท่านได้มอบให้แก่คนรุ่นหลังนั้นอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า “นานาชาติ”  (นี่ถ้าเป็นผลงานทางวิชาการละก็อยู่ในระดับของ ศ. 11 ได้เลยทีเดียว!)  ผมได้ยินคุณรวงทอง ทองลั่นธม  กล่าวถึงเกียรติที่ครูเอื้อได้รับจากองค์การระหว่างประเทศเอาไว้  ซึ่งกินใจผมมาก นั่นก็คือ “เราลูกศิษย์ครูระดับนานาชาติเชียวนะ”  การที่วงการบันเทิงร่วมสมัยอาสาที่จะเข้ามาทำงานหนักเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นอมตะของเพลงสุนทราภรณ์นั้น  ต้องนับว่าเป็นคุณูปการอย่างหนึ่ง  และการที่จะใช้รูปแบบของละครเพลงที่เรียกว่ามิวสิคัลมาเป็นตัวสื่อความภักดีที่ว่านี้  ก็ยังเป็นสิ่งที่แฟนเพลงสุนทรภรณ์คาดหวังเอาไว้ว่า  จะเป็นบทพิสูจน์ที่ชี้ให้เห็นได้ว่าเพลงสุนทราภรณ์ไม่มีวันตาย  ละครเพลงเรื่อง  กว่าจะรักกันได้  เดอะมิวสิคัล ที่นำออกแสดงที่โรงละคร เอ็ม เธียเตอร์  ซึ่งผมได้ไปชมเมื่อบ่ายวันที่ 23 มกราคม 2554 เป็นเครื่องพิสูจน์ความตั้งใจดีของกลุ่มศิลปิน  ซึ่งวัตถุประสงค์ของพวกเขาอาจสรุปได้เป็น 4 ประการคือ

1. ต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเพลงสุนทราภรณ์มีคุณค่าอยู่ในเนื้อในที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอไปได้อย่างไม่รู้จบ  เพียงคิดเท่านี้ก็น่าตื่นเต้นแล้ว

2.   เปิดโอกาสให้แก่คนรุ่นใหม่  อันรวมถึงนักร้องและนักแสดง  ได้ปรับตัวเข้าหาเพลงไทยสากลระดับบรมครู  เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า การตีความใหม่เป็นสิ่งที่ทำได้ตลอดเวลา

3.   ถือโอกาสของการจัดแสดงในรูปแบบใหม่นี้แสดงทัศนะเชิงวิพากษ์สังคม  อันรวมไปถึงการวิจารณ์วงการแสดงร่วมสมัยของไทยเองด้วย

4.   เปิดหลังบ้านให้มหาชนได้รับทราบว่า  การทำละคร  โดยเฉพาะละครเพลงขนาดใหญ่นั้น เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน  ต้องการความร่วมมือจากหลายด้าน และต้องการการบริหารจัดการ  รวมถึงการสร้างมนุษยสัมพันธ์อันยากยิ่ง  เบื้องหลังฉากในลักษณะนี้  จะช่วยให้ผู้คนได้รับรู้ถึงกลไกของกระบวนการ “กว่าจะเป็นละคร”

โจทย์ที่คณะละครตั้งให้ตนเองเป็นโจทย์ที่ยากมาก  และก็น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ถึงแม้จะพยายามแล้ว  ก็อาจจะยังตอบโจทย์เหล่านั้นมิได้ครบถ้วน  ข้อวิพากษ์ที่ผมจะเสนอในบทวิจารณ์นี้  มิได้มุ่งที่จะผลักให้พวกนักแสดงเหล่านี้ตกจากเวที  แต่ในทางตรงกันข้าม  ผมใคร่ขอเสนอแนวคิดบางประการที่อาจจะทำให้พวกเขาอยู่บนเวทีต่อไปได้อย่างสมศักดิ์ศรีและมีคุณภาพ

สำหรับโจทย์ข้อที่หนึ่ง พอผมเดินเข้าไปในโรงละครก่อนการแสดงประมาณ 15 นาที  ก็รู้สึกเอะใจขึ้นมาแล้วว่า  เหตุใดนักดนตรีที่น่าจะนั่งอยู่หน้าเวทียังไม่เริ่มอุ่นเครื่องเสียที  เพราะละครมิวสิคัลที่ผมได้ดูมาในบ้านเราก็ใช้วงดนตรีบรรเลงสดกันทั้งนั้น  แม้ในโรงละครบางแห่งจะจับวงดนตรีไปซ่อนไว้ใต้เวที และเห็นเวทีผ่านจอมอนิเตอร์   แต่เราก็ยังได้ยินเขาขึ้นเสียงและอุ่นเครื่องกันอยู่ก่อนการแสดง  ผมเริ่มใจไม่ดีแล้วว่า  คงจะใช้ดนตรีประเภท “อัดกระป๋อง” มาอย่างแน่นอน  แล้วก็เป็นจริงอย่างที่กริ่งเกรงเอาไว้   เพลงสุนทราภรณ์เป็นเพลงที่ยากมากสำหรับการร้องด้วยคาราโอเกะ  เพราะผู้แต่งเพลงกำหนดให้มีการบรรเลงช้าบ้างเร็วบ้างเพื่อสนองอารมรณ์ของเพลงที่เปลี่ยนไป  (ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าพวกที่เต้นรำบนเวทีลีลาศในสมัยก่อนจะตามดนตรีนี้อย่างไร)  นักร้องรุ่นเก่าจะเรียกวิธีการร้องเช่นนี้ว่า “ร้องตามไม้”  นั่นก็คือ ต้องมองการกำกับวงของครูเอื้อ  ซึ่งไม้ที่ว่านั่นไม่ใช่ไม้บาตอง (baton) ที่วาทยกรเพลงคลาสสิกใช้กัน แต่ก็คือคันชักไวโอลินของครูเอื้อนั่นเอง  การอัดเสียงมาล่วงหน้าเป็นการบีบให้นักร้องต้องร้องเพลงอย่างตายตัว  ซึ่งไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเพลงของครูเอื้อและเพื่อนร่วมงานของท่านที่มีพื้นมาจากดนตรีคลาสสิกตะวันตก  ในส่วนของดนตรีที่บันทึกมาล่วงหน้านั้น  ก็คงจะต้องยอมรับว่ายังขาดความละเมียดในช่วงที่เพลงต้องการสร้างอารมณ์ที่ละเมียดพอกัน

สำหรับการเลือกเพลงนั้น  (ยกเว้นเพลงชุดจุฬาตรีคูณ)  สะท้อนให้เห็นว่า  ผู้ที่อยู่เบื้องหลังอาจจะยังไม่ได้นำองค์แห่งคีตนิพนธ์ (repertoire) ของเพลงสุนทราภรณ์มาใช้อย่างกว้างขวางพอ  เพราะยังมีเพลงชั้นยอดอีกเป็นจำนวนมากที่น่าจะเข้ามาสนองการเดินเรื่องของละครมิวสิคัลชุดนี้ได้  อันที่จริงการใช้เพลงที่มีอยู่แล้วมาเป็นตัวสนับสนุนเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่เป็นสิ่งที่ทำได้  และน่าจะทำได้อย่างดีกับเพลงสุนทราภรณ์  เพราะมีเพลงให้เลือกเป็นพันๆ เพลง  ในช่วงทศวรรษที่ 2490  ครูแก้ว  อัจฉริยะกุล  เคยทำรายการวิทยุ  โดยนำเพลงสุนทราภรณ์ที่แต่งไว้แล้วมาบรรเลงต่อเนื่องกัน  สามารถเล่าเรื่องราวที่มีความเข้มข้นและความหลากหลายทางอารมณ์ราวกับเป็นงานวรรณกรรมชั้นดีได้  คณะละครเดินมาถูกทางแล้ว  เพียงแต่จะต้องออกแรงอีกสักนิด

สำหรับโจทย์ข้อที่สอง นักร้องเกือบทั้งหมด  ไม่ว่าจะมีความผูกพันกับเพลง
สุนทราภรณ์สักเพียงใด  ก็ดูจะยังเข้าไม่ถึงวิญญาณของเพลง  จึงมิได้เกิด “การตีความใหม่” หากแต่เป็นการจับความไม่ได้มากกว่า  สังเกตได้ว่านักร้องอาจจะมีเวลาฝึกฝนการร้องเพลงสุนทราภรณ์น้อยมาก  เพราะส่วนใหญ่แล้วทอดเสียงยาวไม่ได้  และเอื้อนด้วยความยากลำบาก  บางคนจึงหาทางออกด้วยการตัดเป็นวลีสั้นๆ  ทำให้เพลงขาดความลี่นไหล และจุดนี้ทำให้เพลงจากจุฬาตรีคูณขาดรสไปไม่น้อย

ในส่วนที่เกี่ยวกับโจทย์ข้อที่สาม การชี้ให้เห็นความฟอนแฟะของสังคมร่วมสมัยที่คุณหญิงคุณนายผู้ไร้รสนิยมออกมามีบทบาทมากเกินไป  และความคลั่งดาราของคนส่วนใหญ่นั้น  เป็นประเด็นที่น่าสนใจยิ่ง  เพราะเท่ากับนักแสดงกลุ่มนี้พร้อมที่จะวิพากษ์ตนเอง เป็นความตั้งใจที่น่ายกย่อง  แต่วิธีที่ใช้ไม่เกิดผล  เพราะกลายเป็นโอกาสแสดงมุกตลกเกือบตลอดทั้งเรื่อง  จนทำให้เกิดความเบื่อหน่าย  เพราะมุกตลกเหล่านั้นซ้ำๆ กัน  และส่วนใหญ่ก็ต้องเรียกว่าด้านและขาดความแหลมคม  การแสดงที่เกินพอดี (overacting) ถ้าใช้แต่เพียงประปรายก็อาจจะทำให้เกิดความขำขัน  แต่ถ้าใช้มากเกินไปก็ทำให้ละครเสียความสมดุล  หัวคะมำตกลงไปในห้วงน้ำเน่าที่พวกเขาพยายามวิพากษ์และหวังจะกำจัดไปเสียให้สิ้น  วังวนและวังเวียนของความไร้สาระของสิ่งบันเทิงในประเทศไทยจึงจะยังคงอยู่กับเราต่อไปอีก

สำหรับโจทย์ข้อที่สี่ ความคิดที่จะใช้กลวิธี “ละครในละคร”  เป็นความคิดที่ดีมาก  แต่สิ่งที่คณะละครทำได้ก็คือ แนวการแสดงที่กล่าวมาแล้วในการตอบโจทย์ข้อที่สามข้างต้น  อันที่จริงการผูกเรื่องให้ผู้เขียนบทกับผู้กำกับการแสดงมีปัญหาในการร่วมงานกันนั้นเป็นประเด็นที่น่าจะขยายความได้ดีเกินไปกว่าเรื่องของความสัมพันธ์ทางความรัก  การตั้งประเด็นเรื่องข้อขัดระหว่างหน้าที่การงานกับความสัมพันธ์ส่วนตน  ก็เป็นประเด็นที่ผู้เขียนบทนำกลับมาเล่นอีกหลายครั้ง  นับว่าทำได้ดี  นี่คือลักษณะของจุดเด่นทางความคิดที่น่าจะแผ่ขยายไปยังทุกองค์ประกอบของละครเพลงเรื่องนี้  แต่ความมุ่งมั่นที่จะสร้างความสนุกสนานทำให้ทั้งผู้เขียนบทและผู้กำกับการแสดง (จริง) ละเลยศักยภาพที่มีอยู่แล้วในเนื้อในของตัวบทไปเสีย

ผมคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับการแสดงละครเพลงเรื่องนี้มิใช่ปัญหาในระดับบุคคล  หรือแม้แต่ในระดับกลุ่มบุคคล  แต่เป็นปัญหาของสังคมไทยร่วมสมัยที่เข้ามาครอบคลุมพฤติกรรมของพวกเราอย่างเลี่ยงได้ยาก  ในส่วนที่เกี่ยวกับศิลปะการแสดงนั้น  ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ขาดราก”หรื “รากขาด”ในทางวัฒนธรรมนั้น  อาจทำให้เราเกิดความเคว้งคว้างหาหลักที่จะเกาะยึดไม่ได้  จะขออนุญาตวิเคราะห์ปรากฏการณ์ดังกล่าวไว้เป็นประเด็นๆ ดังต่อไปนี้

ประการที่หนึ่ง  ความห่างเหินของสังคมร่วมสมัยจากวัฒนธรรมพื้นบ้าน  ทำให้เราเข้าไม่ถึงขุมทรัพย์ทางปัญญาอันมหาศาลที่สั่งสมกันมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ  เคยมีผู้รู้กล่าวไว้ว่า “ถ้าคิดอะไรไม่ออก  ให้กลับไปหาชาวบ้าน”  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดของการแสดงในบ้านเราก็คือ  ปัญหาการสร้างอารมณ์ขัน  ซึ่งเกิดความสับสนระหว่างลักษณะขำขัน (humorous)  กับลักษณะงี่เง่า (insipid) สังคมไทยแต่ดั้งเดิมมาเป็นสังคมที่มีความมั่งคั่งทางภาษาสูงมาก  และอารมณ์ขันส่วนหนึ่งแฝงอยู่ในเนื้อในของภาษา  กลุ่มนักแสดงที่ยังสร้างอารมณ์ได้อย่างน่าทึ่งก็คือกลุ่มที่ยังใกล้ชิดกับชาวบ้าน  ใกล้กับศิลปะการแสดงพื้นบ้าน  ถ้าเทียบอารมณ์ขันในละครเพลง กว่าจะรักกันได้ กับรายการโทรทัศน์ เช่น ก่อนบ่ายคลายเครียด,  คุณพระช่วย หรือ วงษ์คำเหลา แล้วคงจะต้องยอมรับว่ากลุ่มผู้ขาดรากที่ฟู่ฟ่าทั้งหลายยังไม่รู้จักใช้อัจฉริยภาพของชาวบ้านให้เป็นประโยชน์

ประการที่สอง  ละครที่ดีเป็นละครที่ต้องมีบทที่นับว่าเป็นวรรณกรรมได้  การผูกเรื่องก็ดี  การสร้างตัวละครก็ดี  การสนทนาโต้ตอบก็ดี  เป็นสิ่งที่วรรณกรรมประเภทบทละครสั่งสมเป็นมรดกเอาไว้ให้เป็นพันๆ ปี  ผู้เขียนบทละครที่เก่งกาจคงจะมิได้มองแต่เฉพาะมรดกของชาติของตนเองเท่านั้น  แต่มีนักเขียนไทยจำนวนหนึ่งที่สามารถเรียนรู้ได้จากองคนิพนธ์ของตะวันตกและตะวันออก  เช่น ชมพูทวีป  ผู้ดูผู้ชมในครั้งนี้ก็เห็นตัวอย่างแล้วจากความสามารถของ “พนมเทียน” เมื่อวัยหนุ่ม  คณะละครของตะวันตกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา  มีตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมประจำคณะละครไว้เป็นการถาวร  เมื่อเดิมขนบนี้มาจากเยอรมนี  แต่ก็แผ่ขยายไปยังสังคมตะวันตกอื่นๆ

ประเด็นที่สาม  ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเมื่อตัดสินใจจะสร้างละครประเภทมิวสิคัลแล้ว  ผู้สร้าง  ผู้เขียนบท และผู้กำกับการแสดงได้ศึกษาวิเคราะห์งานประเภทนี้มาอย่างลึกซึ้งเพียงใด  ตัวอย่างตะวันตกก็เป็นที่รู้จักกันอยู่ ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่คงจะได้สัมผัสในรูปของภาพยนตร์มากกว่าการแสดงบนเวที  ถึงกระนั้นก็ตาม  ละครมิวสิคัลในประเทศไทยที่มีความหนักแน่นในด้านการแสดง และในด้านของดนตรีก็มีให้เห็นเป็นประจักษ์  ผมยังอดคิดถึงคู่กรรมไม่ได้  ซึ่งแสดง  ณ โรงละครแห่งเดียวกันนี้  หลายปีมาแล้ว  และในกรณีที่เป็นของ “นำเข้า”  ก็คงต้องกล่าวถึง สู่ฝันอันยิ่งใหญ่ ซึ่งแสดงถึงสองครั้ง และก็จัดได้ว่าเป็นละครเพลงที่มีคุณภาพน่ายกย่องทั้งสองครั้ง ผู้สร้างกว่าจะรักกันได้ คงจะต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อพิเคราะห์ทั้งของใกล้ตัวและของไกลตัว

ประการที่สี่   “ผู้ใหญ่” อาจจะประเมิน “เด็ก” ของตนเองต่ำไป  เพราะฉากจากจุฬาตรีคูณ 3 ฉากที่ตั้งใจแสดงให้เป็นละครจุฬาตรีคูณจริงๆ  เรียกได้เลยว่าเป็นละครที่มีคุณภาพ  แม้ว่าการร้องอาจจะยังไม่เข้าที่  แต่ชายหนุ่มหญิงสาวเหล่านี้มีความมุ่งมั่นและมีศักยภาพที่จะเป็นนักแสดงที่ดีได้  ผู้ใหญ่จะต้องพาเขาไปในหนทางที่ทอดสูงขึ้นเรื่อยๆ ในด้านของศิลปะการแสดง

คงจะต้องสรุปด้วยการไม่ชี้นิ้วไปที่ใครเป็นรายบุคคล  แต่ขออนุญาตกล่าวเป็นเชิงสรุปรวมทั่วไปว่า  สังคมเป็นเช่นไร  ละครก็เป็นเช่นนั้น กว่าจะรักกันได้จริง  ก็คงอีกนานทีเดียว

———————————————-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*