ประเด็นที่น่าสนใจจากการสัมมนา เรื่องสุนทราภรณ์วิชาการ ครั้งที่ 2 “จากดนตรีคลาสสิก : เส้นทางของสุนทราภรณ์”
ประเด็นที่น่าสนใจจากการสัมมนา เรื่องสุนทราภรณ์วิชาการ ครั้งที่ 2
“จากดนตรีคลาสสิก : เส้นทางของสุนทราภรณ์”
อรพินท์ คำสอน
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน 2554 มีการจัดการสัมมนา เรื่อง “สุนทราภรณ์วิชาการ ครั้งที่ 2” ในหัวข้อ “จากดนตรีคลาสสิก : เส้นทางของสุนทราภรณ์” ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ การสัมมนาในครั้งนี้ทำให้มองเห็นพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของเพลงสุนทราภรณ์ในช่วงกึ่งศตวรรษได้ชัดเจนขึ้นในหลายแง่มุม
- 1. “มรดกสุนทราภรณ์ ภาค 2”
ศาสตราจารย์ ดร. เจตนา นาควัชระ ในการแสดงปาฐกถนานำชี้ให้ถึงความหมายของคำว่า “มรดก” ตามความเห็นของเกอเธ่ (Goethe) นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ชาวเยอรมันที่กล่าวว่า “สิ่งใดที่เจ้ารับเป็นมรดกจากบรรพบุรุษ จงศึกษามันเสียให้ถ่องแท้ก่อน แล้วเจ้าก็จะได้ครอบครองมัน” วิธีหนึ่งของการศึกษาเพลง
สุนทราภรณ์ในแนววิชาการนั้นได้เริ่มกระทำมาแล้วตั้งแต่การจัดการสัมมนาสุนทราภรณ์วิชาการ ครั้งที่ 1 (2532) ก่อนหน้านั้น อาจารย์เจตนาได้เขียนบทความลงในวารสารธรรมศาสตร์ (มี.ค. 2527) ชื่อว่า “มรดกของสุนทราภรณ์” พอสรุปประเด็นได้ว่า การบรรเลงเพลงสุนทราภรณ์คุณภาพตกลงไป จึงเรียกร้องให้คนนอกวงสุนทราภรณ์เข้ามาร่วมขับร้องและบรรเลงเพลงสุนทราภรณ์ ซึ่งในช่วงเวลานั้นก็มีศิลปินหลายคนและวงดนตรีหลายวง เช่น นัดดา วิยะกาญจน์ วงแกรนด์เอ็กซ์ ฯลฯ แต่สิ่งที่ขาดอีกประการหนึ่งคือการจัดระบบของเพลงสุนทราภรณ์ เพราะไม่มีผู้ใดทราบว่าเพลงแต่ละเพลงแต่งในช่วงเวลาใด
อาจารย์เจตนากล่าวว่าการนำเพลงสุนทราภรณ์มาศึกษาอย่างเป็นวิชาการนั้น ผู้ศึกษาต้องรวบรวมประสบการณ์และสกัดประสบการณ์เหล่านั้นออกมาเป็นข้อสรุปรวมทั่วไป เป็นวิชาการ หรือเป็นทฤษฎีให้ได้ ซึ่งประสบการณ์เหล่านั้นได้มาจาก 2 ทาง คือ ประสบการณ์จากผู้สร้างงาน คือ ผู้บรรเพลงและผู้ร้อง เช่น ครูเอื้อมักจะเน้นอยู่เสมอว่าไม่ควรร้องเพลงของท่านโดยใส่อารมณ์มากเกินไป ถ้าเพลงใดที่มีเนื้อเพลงเศร้าอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องบีบเสียงให้เศร้า หรือคุณมัณฑนา โมรากุล มักจะเน้นเสนอว่าก่อนที่จะร้องต้องศึกษาเนื้อเพลงให้ถ่องแท้เสียก่อน จากนั้นจึงค่อยไปศึกษาทำนองเพลง แล้วจึงนำทำนองกับเนื้อร้องมาประสานกัน ประสบการณ์าที่สองคือ ประสบการณ์ของผู้รับ ซึ่งจะมาจากผู้ที่ชอบฟังและวิเคราะห์เพลงจนสามารถที่จะจับหลักการบางอย่างได้ นอกจากนี้เห็นว่าสิ่งที่น่าเสียดายที่สุด คือ ครูเอื้อไม่ได้ถ่ายความรู้เรื่องการแต่งเพลงไว้ให้กับผู้ใด นั่นอาจเป็นเพราะเพื่อนร่วมงานของท่านทุกคนแต่งเพลงได้ และการสอนการแต่งเพลงที่มีในปัจจุบันอยู่นั้น จะสอนได้เฉพาะเทคนิคเท่านั้น ไม่สามารถสอนวิธีที่จะจับแรงดลใจที่จะแปรเป็นอารมณ์เพลง หรือการให้อารมณ์แปรสภาพออกมาเป็นทำนองเพลงได้
ทั้งนี้ อาจารย์เจตนาเห็นว่าการสัมมนาครั้งนี้ทำให้เห็นว่าเพลงสุนทราภรณ์จะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้ จะต้องทำให้กว้างออกไปและก้าวหน้าไปมากกว่านี้ ในครั้งนี้จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่นำความสุดยอดของคลาสสิกตะวันตกและคลาสสิกของไทยมาผสานกัน โดยอาจารย์เจตนาได้ยกตัวอย่างเพลงสนุทราภรณ์ที่นำมาเรียบเรียงใหม่โดย วงเยื่อไม้ คือ “ปาหนัน” และ การนำมาเรียบเรียงใหม่โดยอาจารย์นรอรรถ จันทร์กล่ำ และบรรเลงโดยวง บี.เอส.โอ คือ “เสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น” “ยามร้าง” และ “นวลปรางนางหมอง”
สำหรับหัวข้อการสัมมนาที่ใช้ชื่อว่า “จากคลาสสิกสู่คลาสสิก” นั้น อาจารย์เจตนาเห็นว่าคลาสสิกในที่นี้มีทั้งสิ้น 4 แบบ คลาสสสิกแรก คือ เพลงไทยเดิม ซึ่งครูเอื้อและเพื่อนร่วมงานของท่าน ไม่ว่าจะเป็น ครูเวส สุนทรจามร และครูสริ ยงยุทธ ก็มีความจัดเจน เพราะได้รับมอบหมายให้จดเพลงไทยเดิมเป็นโน้ตสากล คลาสสิกที่สอง คือ เพลงคลาสสิกตะวันตก เพราะเป็นสิ่งที่ครูเอื้อเล่าเรียนมาจากโรงเรียนพรานหลวง และเล่นไวโอลินแนวหนึ่งอยู่ในวงคลาสสิกตะวันตกของกรมศิลปากรนานถึง 16 ปี คลาสสิกที่สาม คือ เพลงไทยสากล ที่นำความเป็นคลาสสิกของทั้งเพลงไทยเดิมและเพลงคลาสสิกตะวันตกมาผสานกันได้อย่างลงตัว และพัฒนาไปถึงจุดสุดยอดในเวลาเพียง 20 ปีโดยครูเอื้อและคณะ และ คลาสสิกที่สี่ คือการนำเพลงไทยสากลของสุนทราภรณ์ที่ถือว่าเป็นสุดยอดของเพลงไทยสากลมาเรียบเรียงเสียงประสานใหม่เป็นเพลงคลาสสิกตะวันตกและบรรเลงโดยวงซิมโฟนีออร์เคสตรา
- 2. “นวัตกรรมเพลงสุนทราภรณ์”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นรอรรถ จันทร์กล่ำ แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมของเพลงสุนทราภรณ์เกิดจากการมีของเดิมที่ดีและเป็นคลาสสิกอยู่แล้ว และนำมาปรับใหม่โดยไม่ให้ซ้ำทั้งตัวดนตรี การเรียบเรียง การใช้รูปแบบของวงดนตรี และการร้อง ซึ่งนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจะต้องผ่านกระบวนการใคร่ครวญและคิดอย่างมาก และอีกประการหนึ่งที่ต้องไม่ลืมคือ ลักษณะเด่นของเพลงสุนทราภรณ์คือ เครื่องเป่าที่เล่นด้วยเสียงเบา หากผู้ที่ไม่เข้าใจในลักษณะเด่นข้อนี้มาทำเพลงสุนทราภรณ์ใหม่โดยเพิ่มเสียงเครื่องเป่าในดังขึ้นมากๆ ก็จะทำลายความเป็นสุนทราภรณ์ไปอย่างน่าเสียดาย ด้วยเหตุนี้ งานนวัตกรรมที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟังหรือไม่ก็ได้ แต่งานนวัตกรรมที่ดีที่สุดคืองานที่มีความสมดุลระหว่างความคิดสร้างสรรค์ที่คนส่วนใหญ่รับได้และชื่นชอบ และที่ดีที่สุดคือต้องเป็นที่ชื่นชอบของคนทุกวัย ทั้งที่ชื่นชอบอยู่แล้ว รวมทั้งผู้ที่เพิ่งเคยฟังเป็นครั้งแรกด้วย ทั้งนี้ อาจารย์นรอรรถจะเปิดตัวอย่างเพลงที่นำเพลงสุนทราภรณ์ไปปรับใหม่ และถือว่าเป็นนวัตกรรมเพลงสุนทราภรณ์ ไม่ว่าจะเป็นผลงานเพลง “ดาวล้อมเดือน” ของวงแกรนด์เอ็กซ์ ที่ต้นฉบับเป็นแทงโก้ แต่นำมาทำใหม่เป็นดิสโก้ เพลง “ปลูกรัก” ของ อ๊อด คีรีบูน ผลงานของดนุพล แก้วกาญจน์ ในชุด “ที่สุดสุนทราภรณ์” การร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ “จุฬาตรีคูณ” แบบโอเปร่าของคุณสมบัติ เมทะนี ซึ่งเพลงนี้นับเป็นแรงบันดาลใจและเห็นศักยภาพของดนตรีคลาสสิกในเพลงสุนทราภรณ์จนทำให้อาจารย์
นรอรรถนำมาคิดต่อยอด เพลง “อ้อมกอดพี่” ที่ใช้กีต้าร์ตัวเดียวคลอเสียงร้องของคุณธีร์ ไชยเดช และเพลง “ปรัชญาขี้เมา” ในชุด Eclectic Suntaraporn ทำเพลงโดยคุณนรเศรษฐ หมัดคง ซึ่งเป็นนักวิจารณ์ดนตรีและสร้างผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาประมาณ 6-7 ปีที่ผ่านมา นับเป็นนวัตกรรมสูงสุดของสุนทราภรณ์ในความคิดของอาจารย์นรอรรถ เพราะแนวเพลงเป็นแนวอิเล็กทรอนิกส์ คือใช้เครื่องไฟฟ้าทั้งหมด และมีการ
“สแคซแผ่น”แทรกเป็นระยะ และเอาบางส่วนของเสียงร้องและดนตรีดั้งเดิมแบบสุนทราภร์มาแทรกไว้เป็นระยะๆ ลักษณะเช่นนี้คล้ายกันการทำเพลงของวง The Beatles อาจารย์นรอรรถเห็นว่าเพลงสุนทราภรณ์มีช่องทางที่จะนำไปทำใหม่เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยได้อย่างหลากหลาย ดังเช่นที่เสนอตัวอย่างไว้ข้างต้นแล้ว
นอกจากนี้ อาจารย์นรอรรถยังให้ข้อคิดสำหรับผู้ที่จะนำเพลงสุนทราภรณ์ไปทำใหม่ว่า ผู้ที่ทำต้องมีความรักต่อเพลงที่ทำ เคารพในตัวงาน และมีความศรัทธาในงานชิ้นนั้น ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ตั้งแต่ประเภทของดนตรี เช่น ดนตรีจริง หรือ ดนตรีเสียงปลอม การเรียบเรียงเสียงประสาน ที่จะอิงต้นฉบับบางส่วนและเพิ่มขึ้นใหม่บางส่วน หรือว่าจะเรียบเรียงใหม่ทั้งหมด และในการร้อง นักร้องก็ต้องเข้าใจทั้งอารมณ์เพลง ความหมายของเพลง และประโยคเพลง
3. “ไม่ใกล้ไม่ไกล : เยื่อไม้ ศิษย์สุนทราภรณ์”
คุณทรงวุฒิ จรูญเรืองฤทธิ์ ศิษย์รุ่นแรกของโรงเรียนสุนทราภรณ์การดนตรี ชี้ให้เห็นว่าการจะนำงานของสุนทรภรณ์ไปทำใหม่นั้นอย่างน้อยผู้ทำต้องเข้าใจแก่นของเพลงสุนทรภรณ์ให้ดีเสียก่อน คุณทรงวุฒิเล่าว่าตอนที่เริ่มทำวงเยื่อไม้ก็เริ่มคิดว่าใช้ใช้วงดนตรีในลักษณะใด เพราะโดนส่วนตัวไม่ชอบดนตรีที่เป็นเครื่องไฟฟ้า เนื่องจากมีเสียงที่กระด้างเกินไป และหากจะใช้วงบิ๊กแบนด์ (Big Band) เหมือนวง
สุนทราภรณ์ก็ขาดทุนที่จะทำ ในขณะนั้นได้นึกถึงคำพูดของครูใหญ่ (สมาน นภายน) ว่าเดิมสุนทราภรณ์เป็นวงขนาดเล็ก มีเครื่องดนตรีไม่กี่ชิ้น จึงยึดการทำวงแบบสุนทราภรณ์ในยุคแรก เปลี่ยนแค่เสียงเครื่องดนตรี จะมีเครื่องให้จังหวะคือ เปียโน กีตาร์ เบส กลอง เครื่องเป่าคือ ฟลูตและคลาริเน็ตมาเสริม ซึ่งนับเป็นเสียงเครื่องดนตรีที่ได้ยินน้อยในเพลงสุนทราภรณ์ และมีแอคคอเดียนแทรกเป็นบางเพลง แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ของเพลงสุนทราภรณ์คือไวโอลิน เมื่อนำเพลงที่เลือกมาเรียบเรียงเสียงประสานคุณทรงวุฒิพบว่าเพลงสุนทราภรณ์มีการวางฮาร์โมนีไว้ในทำนองเพลงด้วย หมายความว่าวางคอร์ตหลักๆ ไว้ในทำนองเพลงแล้ว ซึ่งลักษณะเช่นนี้เหมือนกับเพลงคลาสสิก ดังนั้นก่อนที่จะทำเพลงจะต้องหาคอร์ตและฮาร์โมนีในเพลงให้พบก่อน ก็จะได้ทำนองและ “เสียง” ของสุนทราภรณ์ เพราะสำเนียงหรือเสียงของสุนทราภรณ์เกิดจากฮาร์โมนีที่วางไว้ในเพลงอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ในเพลงสุนทราภรณ์ยังมี line สำคัญๆ ซึ่งนับเป็นสัญลักษณ์นั้นๆ เมื่อนำมาทำใหม่ก็ต้องคง line สำคัญนั้นไว้ เช่น จำได้ไหม นางฟ้าจำแลง หรือ ปาหนัน (เป็นเพลงเดียวของสุนทราภรณ์ที่มีกีตาร์โซโล) คุณทรงวุฒิชี้ให้เห็นว่าการเล่นดนตรีของวงเยื่อไม้ยังยึดจังหวะ (rhythm) ของเดิมเป็นหลัก เช่น เพลงเดิมเป็นโบเรโร่ ก็จะเล่นเป็นโบเรโร่ และความเร็วของเพลงก็ยึดให้ใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด ส่วนเครื่องเป่าจะเขียนให้อยู่ในลักษณะที่เล่นเป็น counterpoint เพื่อให้พัวพันหรือสอดแทรกกับทำนองหลักที่นักร้องร้องอยู่ และไวโอลิน ที่นับว่าสำคัญมาก และถือว่าว่าเป็นสีสันของวงเลย เนื่องจากอาจารย์นพ โสตถิพันธ์ มีวิธีสีไวโอลินที่ไม่เหมือนใคร และเสียงก็แปลก คือมีสีสันและทรงพลัง และจะต่างจากครูเอื้อที่มักจะสีทำนองหลักของเพลงคลอไปกับนักร้อง แต่วิธีการเล่นไวโอลินกับอาจารย์นพเป็นแบบการ “ด้น” (improvisation) คือการสีโดยการคิดขึ้นมาเองสดๆ จากการฟังจากดนตรีที่บันทึกอยู่ แล้วก็สีทับลงไปโดยไม่ต้องเก็บโน้ต เพราะฉะนั้นทางไวโอลินของอาจารย์นพจึงเป็นการเปิดโอกาสให้แสดงศักยภาพออกมามากที่สุด จึงไม่มีการเขียนโน้ตกำกับการเล่นไว้ แต่ให้อาจารย์นพฟังและสีเอง โดยจะบอกเพียงแค่อารมณ์กว้างๆ ให้ฟัง เช่น เศร้า หวาน หรือ ดุดัน
สำหรับนักร้องนั้น คุณทรงวุฒิเลือกอรวี สัจจานนท์ และวิระ บำรุงศรี เพราะทั้งสองคนไม่ค่อยได้ร้องเพลงสุนทราภรณ์ จึงยังไม่ติดสำเนียงของเพลงสุนทราภรณ์มากนัก ดังนั้น ในการร้องของนักร้องทั้งสองคนจึงเน้นการร้องที่เป็นตัวของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องศึกษาเทคนิคการร้องและความหมายของเพลงนั้นๆ มาเป็นอย่างดีเพื่อปรับให้เข้ากับการร้องของตน นอกจากนี้ ในการเลือกเพลงมาทำใหม่นั้น คุณทรงวุฒิจะเลือกเพลงที่ไม่โด่งดังมากนัก เพื่อเลี่ยงการเปรียบเทียบ เมื่อผลงานสำเร็จก็ได้รับการตอบรับอย่างดีทั้งจากนักฟังเพลงรุ่นใหม่และผู้ที่ชื่อนชอบอเพลงสุนทราภรณ์เดิม เพราะว่าเพลงของ “เยื่อไม้” มีทั้งของเก่าละของใหม่ผสมกันอยู่ แต่อย่างไรก็ดี คุณทรงวุฒิยอมรับว่าผลผลิตที่ดีนั้นต้องเกิดจากบทเพลงต้นแบบที่ดีด้วย
- 4. “จากคลาสสิกสู่คลาสสิก : เส้นทางของสุนทราภรณ์”
ช่วงต้นศาสตราจารย์ ดร. ณัชชา พันธุ์เจริญ ชี้ให้เห็นความคลาสสิกของเพลงสุนทราภรณ์ โดยใช้งานของคุณรวงทอง ทองลั่นธมเป็นกรณีศึกษา นับตั้งแต่คุณลักษณะของเพลงที่คุณรวงทองร้องนั้น ประกอบด้วยเนื้อร้องที่มีภาษากินใจ สื่อความได้ ทำนองมีเอกลักษณ์ และเพลงที่ร้องส่วนใหญ่ยังเป็นเพลงที่นักแต่งเพลงตั้งใจแต่งให้คุณรวงทองร้อง ในส่วนของคุณลักษณะพิเศษของน้ำเสียงนั้นคุณรวงทองจะร้องเสียงขึ้นจมูก มีน้ำเสียงอ้อน และจริตส่วนตัวที่น่าฟัง ซึ่งร้องเลียนเสียงเครื่องสาย ทั้งยังมีน้ำเสียงที่มีพลังแบบไทย คือเชื่อมเสียงสูงและเสียงต่ำได้พลังเท่ากัน และร้องเอื้อนเสียงแบบไทย ซึ่งจะขยี้ทุกเสียง มีกลเม็ดเด็ดพราย และโน้ตประดับเวลาร้อง รวมทั้งยังออกเสียงอักขระชัดทุกคำ
ในแง่ของการเชื่อมระหว่างความเป็นคลาสิกของเพลงสุนทราภรณ์กับคลาสสิกของวงซิมโฟนีนั้น อาจารย์ณัชชาเห็นว่าต้องอาศัยนักดนตรีและผู้เรียบเรียงเสียงประสานที่มีฝีมือ เนื่องจากความเป็นคลาสสิกของสุนทราภรณ์อยู่ที่ความเรียบง่าย และมีจุดเด่นอยู่ที่นักร้องและแนวดนตรี ทั้งนี้จะพบว่าปัญหาของวง
สุนทราภรณ์คือ เพลงแต่เดิมนั้นวางตัวเพลงไว้กับนักร้อง จึงทำให้ไม่สามารถที่จะมีนักร้องรุ่นใหม่คนใดร้องแทนนักร้องคนเดิมได้ ซึ่งงานศิลปะในลักษณะนี้ เมื่อหมดแล้วก็จะหมดเลย ด้วยเหตุนี้ คนรุ่นหลังจึงต้องทำหน้าที่รักษาให้งานเหล่านี้คงอยู่ต่อไป โดยไม่ต้องพะวงว่าจะต้องร้องเสียงให้เหมือนต้นแบบ ในขณะที่เพลงสุนทราภรณ์ที่บรรเลงโดยวงบี.เอส.โอ นั้น นับเป็นงานแนวใหม่ที่บุกเบิกขึ้นมา เพราะไม่ได้รักษาสุนทรียะแบบของเดิมไว้ แต่ต้องการที่จะทำให้คนรุ่นใหม่สนใจและติดใจ ซึ่งผลงานที่สร้างขึ้นใหม่นี้นับเป็นองค์ของคีตพนธ์ (repertoire) ที่สามารถใช้แสดงคอนเสริต์ดนตรีคลาสสิกได้
จากนั้น อาจารย์ชูวิทย์ ยุระยง เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างความเป็นวงบิ๊กแบนด์ของวงสุนทราภรณ์ กับวงบิ๊กแบนด์มาตรฐานทั่วไปว่า โดยปกติวงบิ๊กแบนด็จะแยกเครื่องดนตรีเป็น 2 กลุ่ม คือ หนึ่ง กลุ่มเครื่องเคาะจังหวะ ประกอบด้วย กลอง เปียโน กีตาร์ และ เบส กลุ่มสองเป็นกลุ่มเครื่องเป่า จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ เครื่องลมไม้ คือ แซกโซโฟน จะมีทั้งสิ้น 5 ตัว คือ อัลโตแซกโซโฟน 2 เทเนอร์แซกโซโฟน 2 และ บาริโทน 1 และเครื่องลมทองเหลือง คือ ทรัมเป็ต 4 และ ทรอมโบน 4 แต่วง
สุนทราภรณ์จะใช้ แซกโซโฟน 4 คือ อัลโต 2 และเทเนอร์ 2 โดยจะใช้วิธีการเรียบเรียงเสียงประสานแบบสลับ คือ แนวที่หนึ่ง และ สาม ใช้อัลโตแซกโซโฟน ส่วนแนวที่สอง และ สี่ ใช้ เทเนอร์แซกโซโฟน เพราะจะให้เสียงนุ่มนวลกว่าที่จะฉีกกันไปโดยให้เครื่องเล็กเล่นเสียงสูง และเครื่องใหญ่เล่นเสียงต่ำอย่างที่นิยมกัน และเครื่องลมทองเหลืองนั้นจะใช้ ทรัมเป็ต 2 และทรอมโบน 1 ทั้งนี้เนื่องจากการบันทึกเสียงในสมัยนั้นยังไม่ก้าวหน้ามากพอ ถึงแม้ว่าครูเอื้อจะใช้วงดนตรีตามมาตรฐานของวงบิ๊กแบนด์โดยทั่วไป เมื่อนำมาอัดเสียงก็จะได้ยินเฉพาะเครื่องดนตรีเสียงสูง ในขณะที่เครื่องดนตรีเสียงต่ำก็จะไม่ค่อยมีบทบาทเท่าใดนัก
นอกจากนี้ จากเอกสารที่อาจารย์ชูวิทย์อ่านพบนั้น ครูสมาน นภายน เขียนเล่าไว้ว่า ครูเอื้อมักจะกล่าวไว้เสมอว่าการเล่นดนตรีนั้นไม่ได้ต้องการเอาดนตรีขึ้นไปอวดพลังหรืออวดความสามารถและไปกลบเสียงร้อง หรือแม้แต่เพลงเต้นรำก็จะบอกว่าต้องเล่นจังหวะให้ชัด เพื่อให้ผู้ที่เต้นรำได้ยินจังหวะที่เต้น ไม่ใช่เป็นการเล่นเพื่ออวดฝีมือ แต่เป็นการเล่นดนตรีเพื่อให้คนเต้นรำมีความสุข ด้วยความคิดเช่นนี้จึงทำให้เพลงเต้นรำของสุนทราภรณ์เป็นที่นิยม และแนวความคิดเช่นนี้เองที่กลายเป็นข้อกำหนดประการหนึ่งในการเรียบเรียงเสียงประสานของวงสุนทราภรณ์ด้วยเช่นกัน
อาจารย์ชูวิทย์เห็นว่าดนตรีคลาสสิกแตกต่างจากเพลงป๊อบปัจจุบันคือ ดนตรีคลาสสิกเมื่อแต่งเสร็จแล้วจะออกแสดงก่อน แล้วจึงจะมีการอัดเสียงตามมา จึงแตกต่างจากนักร้องและนักดนตรีในปัจจุบันที่อัดเพลงก่อนแล้วค่อยนำไปออกแสดง และเวลาที่ออกแสดงนั้นก็ใช้ “ลิปซิง” ไม่ได้ร้องจริง และไม่มีเวลาร้อง เมื่อต้องมาอัดเพลงในครั้งต้อไป ทั้งนักร้องและนักดนตรีเหล่านั้นก็ไม่มีการพัฒนาศักยภาพใดๆ ของตนขึ้นมาเลย ในขณะที่เพลงสุนทราภรณ์ เมื่อแต่งเพลงเสร็จแล้วก็นำเพลงดังกล่าวออกแสดงจนเพลง “ช้ำ” แล้วจึงค่อยมาอัดเสียง ซึ่งนับเป็นกระบวนการในการขัดเกลาและช่วยพัฒนานักร้องและนักดนตรีให้มีคุณภาพมากขึ้น ลักษณะเช่นนี้นับเป็นจุดเด่นอีกประการหนึ่งของวงสุนทราภรณ์ที่ส่งผลให้เพลงของสุนทราภรณ์คงอยู่และเป็นอมตะ
ท้ายที่สุด อาจารย์นรอรรถ จันทร์กล่ำ กล่าวถึงการนำเพลงสุนทราภรณ์มาเรียบเรียงใหม่ในชุด “B.S.O. PLAYS SUNTARAPORN” ว่า เพลงส่วนใหญ่ที่เลือกจะเลือกเพลงที่ชอบ และจะพิจารณาว่าเพลงที่เลือกมานั้นเหมาะกับการทำออร์เคสตราหรือไม่ และจะดูเพลงที่เลือกมาทั้งหมดในภาพรวมว่ามีความสมดุลต่อกันหรือไม่ อย่างไร และเพลงส่วนใหญ่ที่เลือกมาในชุดนี้จะยังคงรักษาวิญญาณเพลงสุนทราภรณ์ไว้ แต่อาจจะขยายหรือเสริมตัวเพลงเพื่อให้ประกาศศักดาในแง่มุมทางดนตรีให้ชัดเจนขึ้น เพราะความเป็นเพลง
สุนทราภรณ์แข็งแกร่งอยู่แล้ว จึงไม่ต้องห่วงว่าจะกลายเป็นอื่นโดยที่หาความเป็นสุนทราภรณ์ไม่ได้
————————
สำหรับความเห็นเกี่ยวกับการแสดงคอนเสิร์ตที่นำเพลงสุนทราภรณ์มาปรับใหม่ในครั้งนี้ สามารถอ่านได้จาก http://www.thaicritic.com/?p=209
# *** การวิเคราะห์ วิจารณ์ พร้อมแทรกความรู้จากหลายท่านดังกล่าวข้างต้น …ทำให้เกิดแนวคิดและประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลแด่ทุกท่านที่มีใจรัก ชื่นชอบแนวเพลงสุนทราภรณ์ และสามารถนำไปเพื่อการพัฒนาต่อยอด อนุรักษ์ ต่อไป…..กระผมขออนุญาตเป็นคนหนึ่งที่ขอชื่นชมทุกท่านที่เป็นธุระเกี่ยวข้องจนปรากฏบทความชิ้นนี้ครับ….ขอเป็นกำลังใจ พร้อมจะติดตามผลงานต่อไป….ปอ น้ำค้าง,6ก.ค.559,11:15น.